ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ภวาสวะ

๒๖ ต.ค. ๒๕๖๗

ภวาสวะ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “สงสัยในการภาวนา

ขอกราบนมัสการหลวงพ่อ กระผมมีข้อสงสัยในการภาวนา ขอกราบเรียนถามดังนี้ครับ

ในการภาวนา ผมมีความเห็นว่า จิตคือตัวภพ คือเครื่องมือสำหรับผลิตอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด และผมมีความเห็นว่า ตัวจิตคือตัวภพนี้ดำรงอาศัยอยู่ในวัฏสงสาร ผมขอกราบเรียนถามดังนี้ครับ

ในความเห็นของผมนี้ผิดถูกประการใด กราบขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำด้วยครับ

ผมจะออกจากวัฏฏะนี้ได้อย่างไรครับ เพราะผมอาศัยจิตนี้อยู่ และจิตนี้อาศัยอยู่ในวัฏสงสาร

ขอกราบเท้าหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

ตอบ : นี่คำถามนะ คำถาม คำถามมันถามจากผู้ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เวลาผู้ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัตินะ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาค้นคว้าของเรา ศึกษาค้นคว้าของเรามากน้อยขนาดไหน แล้วเวลาเราจะฝึกหัดปฏิบัติมันฝึกหัดปฏิบัติพร้อมไปกับตัณหาความทะยานอยากคือกิเลสในหัวใจของตน เราไม่เข้าใจเลยว่าการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มจากศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือรั้วรอบขอบชิด สมาธินะ ถ้าทำความสงบของใจได้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วเวลามันเกิดภาวนามยปัญญา เราจะมหัศจรรย์ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายมหาศาล

แต่เวลาจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เพราะเริ่มต้นจากคนหนา ปุถุชนคนที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้ที่มาที่ไป รู้แต่การเกิดมาในโลกนี้ในวัฏฏะนี้พร้อมกับอวิชชาคือพญามาร มีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากเท่านั้นที่ให้ผลลบ ให้ผลกับการประพฤติปฏิบัติให้ผิดพลาด ให้มีความทุกข์ความยากในชีวิตนี้ มันเป็นเรื่องของกิเลสๆๆ ทั้งสิ้น

แต่เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เราจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาอย่างไรถ้าไม่มีอำนาจวาสนา แล้วอยู่ในยุคของสังคมรุ่งเรืองหรือสังคมเสื่อมทราม ถ้าสังคมเสื่อมทรามไง

ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดคือยุคสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้แนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ไง ใครมานี่มีเมตตาสงสารเขามากเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนทุกๆ คนไหม...ไม่สอน ไม่สอน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เล็งญาณว่าคนนั้นมีอำนาจวาสนาหรือไม่ ฟังเทศน์ฟังธรรมเข้าใจหรือเปล่า ถ้าเขาไม่มีอำนาจวาสนานะ ปล่อยผ่านไปๆ แล้วถ้าเขามีวาสนาของเขานะ อนุปุพพิกถา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ไง

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้วจะอบรมบ่มเพาะใคร

เริ่มต้นตั้งแต่อุทกดาบส อาฬารดาบสนะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยไปศึกษากับเขา พอศึกษากับเขา รู้ เพราะเขาได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ คือเขาทำฌานสมาบัติได้ จะไปสอนเขา เล็งญาณ โอ๋ยตายไปเสียแล้ว จะไปสอนใคร

เวลาไปสอนนะ ถ้าเล็งไป ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์อยู่อบรมบ่มเพาะกับพระพุทธเจ้า ๖ ปี พระพุทธเจ้านะ พยายามศึกษาค้นคว้าเข้มข้นเข้มงวดขนาดไหน ปัญจวัคคีย์เห็นหมด ปัญจวัคคีย์ทำตามหมด เพราะรอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม

ฉะนั้น เวลาเล็งญาณๆ ไปแล้ว อาฬารดาบส อุทกดาบสก็ตายไปเสียแล้ว น่าเสียดาย น่าเสียดาย คนที่ตายไปแล้วเขาไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เขามีโอกาส เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณดูแล้วว่าเขาควรได้ แต่เขาสิ้นชีวิตไปก่อน

ฉะนั้น พอเล็งญาณต่อเนื่องก็มาได้ปัญจวัคคีย์ เวลาไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ เพราะปัญจวัคคีย์อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๖ ปี แหมเข้มข้น ทำด้วยความทุกรกิริยาทรมานร่างกายสุดยอด

แต่พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาค้นคว้ามามากน้อยขนาดไหนมันไม่ใช่ทางแล้วแหละ เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา ระลึกถึงตั้งแต่เป็นราชกุมาร ทำความสงบของใจได้ ฉันอาหารของนางสุชาดาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ปัญจวัคคีย์ทิ้งไปเลย เพราะอะไร

เพราะย้อนกลับมา ย้อนกลับมาเรื่องอาหาร เรื่องความเป็นอยู่ทางโลก แสดงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถอยจากความเพียรออกมาแล้ว นี่ความเข้าใจของปัญจวัคคีย์ไง

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม จะไปสอน ปัญจวัคคีย์คัดค้าน นัดกันว่าจะไม่รับ แต่ด้วยบุญด้วยกุศลไง ก็รับไปด้วยสัญชาตญาณ เวลาแสดงธรรมนะ ยังดื้อดึง ยังอวดเก่งว่าตัวเองเข้มข้นกว่าเจ้าชายสิทธัตถะกลับไปฉันอาหารของนางสุชาดา

สุดท้ายแล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ วันวิสาขบูชาไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อันนี้เป็นอดีตอนาคต อาสวักขยญาณ นี่แหละอันนี้มันเป็นทางสายกลางในพระพุทธศาสนา

ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาไง

แสดงธัมมจักฯ นี่ไง ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาคือมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ปัญญาชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยความชอบธรรม ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา

ฉะนั้น เวลาเทศนาว่าการไป ปัญจวัคคีย์ผู้ที่จะรับ รับคือจะศึกษาค้นคว้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมอันเดียวกัน อัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมองค์เดียว ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๔ พระอัสสชิ มหานาม พวกนี้ยังไม่ได้

นี่ไง นี่อำนาจวาสนาของคนไง สิ่งที่จริตนิสัยที่สร้างสมบุญญาธิการมาไง กิจจญาณ กิจจญาณคือลักษณะ คือการกระทำ กิจ สัจจญาณคือสัจจะความจริง นี่ไง มีสัจจญาณ มีกิจจญาณ มีวงรอบ ๑๒ มีสัจจะมีความจริงในพระพุทธศาสนา

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น มีกิจจญาณ มีสัจจญาณ มีกิจ ๑๒ เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ สงฆ์องค์แรกของโลก นี่ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีการกระทำ การกระทำนี้เป็นสัจจะเป็นความจริงไง ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

ฉะนั้น เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คำถามๆ นี่ไง “ผมศึกษาค้นคว้า ผมอยากจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติธรรม” ฉะนั้นถึงว่า “ในการภาวนาผมมีความเห็นว่าจิตคือตัวภพ

ใช่

คือเครื่องมือสำหรับผลิตอารมณ์

ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร นี่ไง ธาตุรู้ สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ไง อารมณ์ เป็นเครื่องผลิตอารมณ์ อารมณ์เกิดจากไหน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง สิ่งที่มันจะผิดๆ มันผิดที่ขันธ์ ๕ นี่ ตัวภพ ตัวภพมันผิดอย่างไร

นี่ไง ถ้าความเห็น ความเห็นก็คือความเห็นไง

ตัวจิตคือตัวภพ คือเครื่องมือผลิตอารมณ์

มันผลิตอย่างไรล่ะ มันมีเครื่องมือตรงไหนล่ะ แล้วมันผลิตอะไรล่ะ

ถ้ามันจะเป็นสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง สังขารขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

อารมณ์ อารมณ์เกิดจากอะไร

อารมณ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ มันถึงเป็นอารมณ์ขึ้นไป แล้วจิตเป็นผู้เสวย นี่เสวยอารมณ์ไง แล้วเวลาอารมณ์ๆ เวลามันเสวย นี่มันข้อเท็จจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของผู้ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง

แต่ของเรามีจริง มีอะไร ผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติใหม่มีอะไร

มีแต่ความรู้สึกนึกคิด แล้วความรู้สึกนึกคิดนี้ไปคิดในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เออออห่อหมกกันไป เออออห่อหมกแล้วก็เอออวย แล้วมันเป็นอะไร มันเป็นความจริงตรงไหน แล้วมันเป็นข้อเท็จจริงอย่างไร มันเป็นข้อเท็จจริงไปไม่ได้ มันเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้ เห็นไหม

ฉะนั้นถึงว่า “ในความเห็นของผมนี้ผิดถูกประการใด กราบขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำด้วย

มีความเห็นถูกผิดประการใด เริ่มต้น เริ่มต้นของคนที่ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าเริ่มต้นของคนที่ฝึกหัดปฏิบัติ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงมีข้อวัตรปฏิบัติไง

การศึกษาค้นคว้าธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาบัว พระมหาบัวเป็นพระอรหันต์ แต่ก่อนที่พระมหาบัวจะเป็นพระอรหันต์ ท่านบวชแล้วท่านก็ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ท่านบอกว่า ตั้งใจไว้ว่าจะศึกษาให้ได้มหาคือจบ ๓ ประโยคแล้วจะออกประพฤติปฏิบัติ

เวลาศึกษาค้นคว้ามาจนเป็นมหาแล้วจะออกประพฤติปฏิบัติ คนที่มีอำนาจวาสนามีเชาวน์ปัญญา ครูบาอาจารย์ทุกสำนักต้องการดึงไว้เพื่อให้เป็นบุคลากร เพื่อให้มีการศึกษาค้นคว้าในสำนักของตน

ดูสิ ในการศึกษาค้นคว้าในปัจจุบันนี้ วัดใดมีพระนิสิตที่ศึกษาแล้วสอบได้ ๙ ประโยค เขาทำเป็นความดีความชอบ เขาทำเป็นสำนักปฏิบัติ สำนักเรียนดีเลอเลิศ

นี่ก็เหมือนกัน เขาก็จะเอาหลวงตาพระมหาบัวไว้เป็นนักศึกษา เป็นครูสอนภาคปริยัติ แต่ท่านตั้งใจจะออกประพฤติปฏิบัติขวนขวาย ท่านบอกว่า ได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณของหลวงปู่มั่นตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็กๆ ฉะนั้น ถ้าจะศึกษาค้นคว้ามันก็ต้องมุ่งหน้าไปสู่ครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องชอบธรรม

เวลาไปฝึกหัดปฏิบัตินะ เวลาเข้าไปหาหลวงปู่มั่นไง

มหา มหาเรียนมาถึงเป็นมหานะ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราชาวพุทธถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระพุทธเจ้าคือศาสดาของเรา พระธรรม พระธรรมคือที่มหาเรียนมานั่นแหละ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเราๆ เราก็เรียนพระธรรม สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ พระสงฆ์ พระสงฆ์ตั้งแต่พระอัญญาโกณฑัญญะลงมา

ฉะนั้น มหาจะมาศึกษาค้นคว้า มหาจะมาหานิพพานๆ นิพพานไม่ได้อยู่ในตำรับตำรา นิพพานไม่ได้อยู่ในวิชาการ นิพพานไม่ได้อยู่ในที่ไหนทั้งสิ้น นิพพานอยู่ในหัวใจของคน

ฉะนั้น เวลาท่านมหาจะประพฤติปฏิบัตินะ สิ่งที่เล่าเรียนมานั่นน่ะให้เก็บใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา แล้วฝึกหัดตามข้อเท็จจริงๆ ถึงที่สุดแล้วธรรมและวินัยจะเป็นอันเดียวกันเลย

แล้วท่านก็ประพฤติปฏิบัติมาจนหลวงตาพระมหาบัวท่านสิ้นกิเลส ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกว่าเป็นอันเดียวกันเลย เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่กว่าจะเป็นจริงนะ ล้มลุกคลุกคลานมา ๙ ปี สละชีวิตตายแล้วตายอีกอยู่ฟากตาย นี่เวลาปฏิบัติไปตามข้อเท็จจริงนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงมีข้อวัตรปฏิบัติไง

ศึกษามามีความรู้นี่ไง “ผมฝึกหัดภาวนา ผมมีความเห็นว่า...” นี่เราศึกษาประพฤติปฏิบัติมา แล้วถ้าศึกษาประพฤติปฏิบัติมาแล้วมีความเห็นอย่างไรเก็บมันไว้ ศึกษาปริยัติ ปฏิบัติมาแล้วเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็จะฝึกหัดอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้

จิตเป็นตัวภพ จิตมันเป็นผู้ปรุงแต่งสังขารอารมณ์

มันมีผู้ร้ายอยู่หมดเลยไง แล้วเราปฏิบัติไปเราก็ไล่ล่าเลยนะ ไล่ล่าผู้ผลิตอารมณ์ ไล่ล่าหมดเลย มันก็หลบหลีกหมดเลย แล้วเหลืออะไรล่ะ เหลืออะไร เหลือความว่าง เพราะเข้าใจหมดแล้วไง แล้วความว่างเป็นอย่างไร

เวลาเราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีอำนาจวาสนานะ เรามีครูมีอาจารย์ กาลามสูตร ไม่เชื่อทั้งนั้น ไม่เชื่อ ไม่เชื่อใครเลย แล้วฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว

กาลามสูตร ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อ ห้ามเชื่อ

ไอ้นี่กิเลสมันก็หลอกแล้วชั้นหนึ่ง “เรามีความเห็นว่าจิตมันเป็นตัวผลิตอารมณ์

แล้วผลิตอารมณ์แล้วเป็นอย่างไรต่อ

นี่ไง เพราะเขาบอกว่า “ในความเห็นของผม ผิดถูกประการใด

ผิดถูกประการใด เราก็พุทโธสิ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเป็นพุทธานุสติ กำหนดลมหายใจเป็นอานาปานสติ แล้วถ้าใช้ปัญญาๆ ไป เราก็ใช้ปัญญาไปเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

ฉะนั้น ถ้ามันอบรมสมาธินะ เวลาคิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิมันเท่าทันมันจะหยุดหมด หยุดแล้วมันก็คิดอีก

แต่เวลามันฝึกหัดๆ เวลามันหยุดแล้ว หยุดแล้วทำอย่างไรต่อ

หยุดแล้วก็พุทโธไปเรื่อยๆ ถ้ามันยังไม่คิด ถ้ามันคิดก็ใช้ปัญญาต่อเนื่องไป แล้วถ้าความหยุดนั้นบ่อยครั้งเข้าๆ เราเห็นความหยุดนั้นบ่อยครั้งเข้า เราเห็น

คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แล้วหยุดอย่างไรล่ะ

หยุดคิดนั่นคือสมาธินะ สมาธิคือมันหยุดไง แต่สมาธิมันแว็บเดียวๆ มันหยุดไม่ได้นาน แล้วถ้ามันรู้มันเท่าทัน มันจะรู้เลย

เวลาว่า “จิตคือตัวภพ เป็นตัวผลิตอารมณ์

มันจะรู้เลยถ้ามันหยุด มันผลิตอะไร ถ้ามันหยุด สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น แล้วมันตั้งมั่นหรือไม่ตั้งมั่น แล้วมันไม่ตั้งมั่น เวลามันยุมันแหย่ไง ฉะนั้นถึงว่า จิตมันคือตัวภพ แล้วเราก็จะไปทุบทำลายตัวจิต ภวาสวะ

ฉะนั้น เวลาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมๆ ท่านสอนไว้ในพระไตรปิฎก อาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ อาสวะ ๓ แล้วเวลาคนที่ฝึกหัดปฏิบัติก็จะไล่ล่ากิเลสสวะ ไล่ล่าอวิชชาสวะ เพราะอวิชชา กิเลสมันชัดเจน กิเลสๆ ตัณหาความทะยานอยากก็คือกิเลสไง ความไม่รู้ ไม่รู้ในอะไรเลย นั่นก็อวิชชาไง

แล้วเวลาฝึกหัดปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรมๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นธรรม ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย เราจะทำอะไรได้ เราไม่เห็นอะไรเลย เราจะแก้ไขอะไรได้ แล้วเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านทำไมจะไม่รู้ ท่านรู้ รู้เช่นเห็นชาติกิเลสตั้งแต่ลูกหลานถึงพ่อถึงแม่ถึงปู่ถึงย่ามันหมดน่ะ รู้หมด ไม่รู้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้

แล้วเวลารู้แล้วจะทำอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร

ผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติมาก็ถือกระบองมาคนละอัน จะทุบภวาสวะ จะทุบทำลายภพ จะเป็นพระอรหันต์...หันจนตาย หันลงนรก

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ เริ่มต้นมีข้อวัตรปฏิบัติ ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบระงับแล้วถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง อาสวะ ๓

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเจียนอยู่เจียนตายเพราะกิเลสนี่แหละ กิเลสคือความอยากได้ อยากเป็น ไม่อยากเป็น ตัณหาความทะยานอยากคืออวิชชา ตัณหาความทะยานอยากคือกิเลส ความไม่รู้เท่ามันคืออวิชชา แล้วมันตั้งอยู่บนไหน มันก็ตั้งอยู่บนหัวใจ ตั้งอยู่บนภพ แล้วตั้งอยู่บนภพ ทำสมาธิก็ทำไม่เป็น ทำสมาธิก็ทำไม่ได้

เวลาทำสมาธิเป็นสมาธิแล้ว เป็นสมาธิแล้วนั่นคืออะไร

สมาธิเป็นตัวเป็นตนนะ

ภพอย่างหยาบ ภพอย่างกลาง ภพอย่างละเอียด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันตั้งอยู่บนอะไร แล้วมันมีอะไรผสมปนเปมา นี่ครอบครัวของมารไง มันมีกิเลส มันมีอวิชชา แล้วมันมีภวาสวะ ภพอย่างหยาบๆ เพราะมันสะเทือนกันหมดไง

ถ้ามันสะเทือนกันหมด ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเห็นกิเลส อ้าวรู้จักกิเลสหรือยังล่ะ มันเห็นกิเลส โอ้โฮมันมหัศจรรย์ มันสะดุ้งเลย

ถ้ารู้จักกิเลส เห็นกิเลสตามความเป็นจริง มันจะเห็นได้อย่างไร

มันจะเห็นได้ตั้งแต่สมถกรรมฐาน ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง คือเห็นในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา

ไอ้ที่พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาน่ะ นั่นมันท่องบ่น นั่นทางวิชาการ แล้วถ้ามันเป็นอวิชชา มันเป็นกิเลส เพราะมันไม่รู้ แล้วมีความอยากได้อยากดี มันก็สร้างอารมณ์กัน มันเป็นวิปัสสนึกไง ถ้ามันเป็นทางโลกนะ มันเป็นฌานโลกีย์ มันเป็นไสยศาสตร์ไสยเวทไปเลยนะ มันเป็นลูกช้างลูกม้า เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่นู่นน่ะ เป็นอวิชชา เป็นผีเป็นสาง โอ๋ยเป็นสายมูนั่นไง ศาสนาสอนกันอย่างนั้นหรือ ศาสนาเป็นอย่างนั้นหรือ แล้วครูบาอาจารย์ที่สอน สอนอย่างนั้นหรือ เวลาภาวนาเป็นหมวดเป็นหมู่

เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านก็พูด อยากให้ชาวพุทธหัดพุทโธๆๆ ไว้ในใจบ้าง หัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นจริตเป็นนิสัย

แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เข้าสู่ทางสายกลางในพระพุทธศาสนานี่ยากมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค

เวลาจิตมันสงบ จิตไปรู้ไปเห็น กามสุขัลลิกานุโยค มันไปหมดแล้ว แล้วจะเข้าทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา

แล้วทำอย่างไรให้มันสงบล่ะ แล้วทำอย่างไรให้มันมีบาทมีฐานล่ะ

มีบาทมีฐานนะ หลวงปู่มั่นไง

จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร

จิตเป็นสมาธิไหม สมาธิขั้นไหน สมาธิเหลวแหลก สมาธิที่มันเสื่อมแล้วไม่มีสมาธิ มีแต่สัญญาที่ความจำได้หมายรู้ แล้วก็พยายามยึดมั่นความจำได้หมายรู้อันนั้นไว้

เราจะบอกว่า เวลาสังคมประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่เหลวแหลกมันไม่มีความจริง มันไม่มีจุดยืน มันไม่มีสัจจะ แล้วเวลาลูกศิษย์ลูกหาที่ประพฤติปฏิบัติมาก็เหลวไหล มันละเมอเพ้อพก มันส่งออก มันไปรู้ไปเห็นร้อยแปดพันเก้าอย่างนั้นน่ะ แล้วอาจารย์ก็ตื่นเต้นไปกับเขา ยกยอปอปั้น เอออวยกันไป สังคมอย่างนั้นใช่ไหม

สมาธิคือสมาธิไง ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา สงบอย่างไร สงบมากน้อยขนาดไหน แล้วสงบแล้วนะ มันส่งออกหมด

มีพระมากมายมหาศาลบอกว่า เวลาจิตสงบแล้วเห็นจิตออกไปจากร่างไปเห็นตัวเองนั่งอยู่

มันก็แค่อาการของใจเท่านั้น

อาการของใจเป็นได้หลากหลายนัก นี่ไง เวลาวิตก วิจาร ปีติ สุข ปีติ ปีติมันเป็นปีติเล็กปีติน้อย ปีติปานกลาง ปีติที่เข้มข้น แค่ปีติ พอจิตสงบแล้วปีติมันไปได้หลากหลายเลย แล้วไปได้หลากหลาย แล้วแค่นี้เองหรือ นี่มันอยู่ในวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์นะ มันอยู่ในองค์ของสมาธิ

เวลาเข้าสมาธิแล้วมันหลากหลายหมดเลย แล้วถ้าอาจารย์ไม่เป็น พอแค่ปีติมันไปรู้ไปเห็นอะไรก็ โอ้โฮบรรลุธรรมๆ จะเอาไม้ตะบองไปตีภพ...ไร้สาระ

ภพนี้เห็นได้ยากมาก ภพ ตัวจิตเดิมแท้คือตัวภพ ตัวจิตเดิมแท้ หลวงปู่ฝั้นก็ติด หลวงปู่คำดีก็ติด หลวงปู่บัวก็ติด ติดคือไม่เห็นไง ติดคือไม่รู้จักภพ คิดว่าตัวเองสิ้นแล้ว ไม่เห็นภพ ภพเป็นตัวที่เห็นได้ยาก แต่ถ้าเป็นกิเลส เป็นอวิชชา ได้ เข้าใจได้ แล้วตัวภพตัวอย่างไร

นี่บอก จิตคือตัวภพ

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

ไอ้คนภาวนาไม่เป็นนะ แค่ผ่องใสๆ ผ่องใสคือนิพพาน ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม มันไม่ได้ทำอะไรกันมาเลย มันไม่เคยใช้สติใช้ปัญญาในการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ไม่เคยจิตสงบระงับจนเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม

แค่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ต้องตามความเป็นจริงนะ

ไอ้นี่มันไม่ได้เห็น ไอ้ที่เขียนมาครั้งที่แล้วน่ะ “ไปรู้ไปเห็น โอ้โฮจิตมันมหัศจรรย์ จิตมันยิ้ม จิตมัน...” นี่คืออาการทั้งนั้น แล้วมีคนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติมาก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ในการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติในวงกรรมฐาน นี้คือการส่งออก นี้คืออาการของจิต แล้วถ้าจิตไม่มีอำนาจวาสนาจะติด

นี่แค่เรื่องปลายเล็บนะ เรื่องขี้หมา เพราะจิตมันสงบแล้วมันจะมีอาการมากกว่านี้ เวลามันสงบเข้ามามันจะรู้จักว่าสงบอย่างไร

ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พอเป็นสมาธิ เราจะรั้งสมาธิอย่างไร เราดึงจิตเข้าสู่สมาธิ คลายออก ปล่อยจิตออกใช้ปัญญา จิตที่ใช้ปัญญาในการมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองดูแลให้จิตนี้ออกไปฝึกหัดใช้ปัญญา

เวลามันใช้ปัญญาในการพิจารณาเต็มที่แล้วกำลังมันไม่พอ แล้วมันหลงระเริงเที่ยวไปนะ จะรั้งจิตกลับเข้ามาสู่สมาธิอย่างไร จะต้องรั้งจิตกลับเข้ามาสู่ฐาน สู่ตัวของจิต ไม่ให้จิตออกไปทำงาน ถ้าจิตไปทำงาน ทำงานต่อเนื่องไปจนเสื่อมสภาพไป จนหลงผิดไปเลย ครูบาอาจารย์องค์ใดจะคอยบอก แล้วบอกอย่างไร

มันไม่มีไง มันถึงต้องไม่มีขณะก็ได้ไง ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมคือไม่ต้องทำอะไร มันมีอยู่แล้ว สอนกันอย่างนี้ ไม่ต้องทำอะไร แค่จิตตื่นก็รู้

กูนอนหลับตื่นทุกวันเลย เดินไปผิดพลาดไปเหยียบตำหนามก็สะดุ้งตื่นทันทีเลย ไม่เห็นรู้อะไร ก็รู้เหมือนเดิมนี่แหละ

คือเวลาพูด เวลาพูดมันเป็นปรัชญา มันเป็นตรรกะ มันเป็นความจริงขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา แล้วมีครูบาอาจารย์องค์ใดจะมาพูดล่ะ นี่มันไม่มีไง มันไม่มีเพราะอะไร เพราะไม่รู้กันทั้งนั้นไง ไม่รู้คืออวิชชา กิเลสเต็มหัวใจ

แล้วอาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ฉะนั้น เวลาทำลาย ทำลายอวิชชา ทำลายกิเลส แต่ไม่มีใครพูดถึงภวาสวะเลย

หลวงปู่มั่นพูดไว้ในมุตโตทัย

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือภวาสวะ คือภพ

แต่ท่านรู้ท่านเห็น แล้วคนอื่นไม่รู้ไม่เห็น แล้วทำไม่ได้ แล้วทำไม่เป็น แล้วพอมาฟังธรรมๆ ขึ้นมาแล้วเราก็คิดของเราไง เราจะเอาอย่างนั้น จะทำอย่างนั้น แล้วมันก็เป็นธรรมะนิยาย นิยายธรรมะไง เราก็สร้างภาพ

ไม่ได้สร้าง ทำจริงๆ

ก็จริงๆ แต่มารยาสาไถย กิเลสมันเป็นอย่างนั้น แล้วก็วังวนวนเวียนอยู่อย่างนั้น ตัดทิ้ง

พุทโธๆๆ ไง พุทโธ ทำความสงบของใจให้ได้ แล้วต้องทำเป็นสัมมาสมาธิ

นี่ไง เวลาทำพุทธานุสติไง พุทโธๆ จนพุทโธหาย ใครๆ ก็หายหมดเลย ว่างหมดเลย เวลาคุยกับหลวงพ่อก็ยังว่างๆ อยู่เลย

เราอยากจะถีบให้กระเด็นเลย ไร้สาระ ไอ้นี่มันอารมณ์ทั้งนั้น “พุทโธๆๆ พุทโธจนพุทโธหาย

หายอย่างไร เมา เผอเรอ กิเลสมันหลอกว่ามันหาย เอ็งยังรู้สึกตัวอยู่ไหม

รู้

พุทโธได้ไหม

ได้

ทำไมไม่พุทโธล่ะ

พุทโธมันหยาบ

มันเป็นเรื่องไร้สาระมาก เพราะอานาปานสติ เราทำมาหมดแล้ว พุทโธๆๆ พุทโธละเอียดขนาดไหน พุทโธๆ จนพุทโธดับ มันหายเพราะมันดับของมันโดยมิติ จากปุถุชน จากสถานะของความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร

เพราะว่าฌานสมาบัตินี้อวดอุตตริมนุสสธรรม ฌานสมาบัติก็สัมมาสมาธิ อุตตริมนุสสธรรมคือธรรมเหนือมนุษย์ ความเป็นอยู่ของมนุษย์ สถานะของความเป็นมนุษย์ เราก็มีสมาธิแบบสมาธิของมนุษย์คือปุถุชน สมาธิสั้น สมาธิยาว มันก็เป็นเรื่องของศักยภาพของจิต

ฉะนั้น พุทโธๆๆ จนพุทโธดับหมด มันดับไปโดยข้อเท็จจริง ดับโดยชัดเจน ดับโดยสักแต่ว่าปรากฏ

คำว่า “พุทโธหาย” พูดกันดาษดื่นไปเลย “พุทโธหาย พุทโธหาย” มันหายไปไหน มึงลืมเอง มึงจับใส่กระเป๋าไว้ไม่ยอมพุทโธกัน

แต่เพราะว่าคำว่า “พุทโธหาย” มันเป็นคำพุทโธหาย อย่างเช่นหลวงปู่มั่นไง ไปอยู่กับมูเซอ พวกมูเซอเขามาจับผิดว่าเป็นเสือเย็น เพราะท่านเดินจงกรมอยู่นะ มาเฝ้าอยู่จนไม่มีปัญหา เข้าไปถาม

หลวงปู่มาทำไม

มาหาพุทโธ

พุทโธ ทำไมถึงมาหาล่ะ

พุทโธหาย

แล้วชาวบ้านช่วยหาได้ไหม

ได้ ยิ่งชาวบ้านช่วยหายิ่งดีใหญ่เลย ยิ่งได้เจอพุทโธไวๆ จะได้ไปจากที่นี่ไง

ชาวบ้านเขาก็ไปพุทโธๆ กันจนเขาหายตามข้อเท็จจริงของเขา เพราะเขาเป็นชาวมูเซอ เขาซื่อสัตย์ เขาซื่อสัตย์ซื่อตรงกับการกระทำของเขา แล้วมันก็พุทโธๆ พุทโธละเอียด จากหยาบ จากกลาง จากละเอียด พุทโธๆ จนมันพุทโธแทบไม่ได้ มันละเอียดยิบไปเลยล่ะ ยิบขนาดไหนก็ต้องยิบจนถึงที่สุดของมัน พอถึงที่สุดของมัน มันดับโดยสัจจะโดยความจริง มันสักแต่ว่าปรากฏ เป็นอัปปนาสมาธิ

มูเซอ มูเซอเขาไปหาพุทโธเขาจนพุทโธเขาหายนะ โอ้โฮมันสว่างโพลงหมดเลยนะ กำหนดจิตไปดูหลวงปู่มั่น โอ้พุทโธท่านไม่หาย พุทโธท่านครอบโลกธาตุเลย ไอ้พวกพุทโธเราเด็กไร้สาระ กลับไปกราบท่านน่ะ โอ้โฮนี่ไง ถ้าพุทโธหายตามความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่างนี้

แต่นี่ในวงปฏิบัติของเราพุทโธหายทั้งนั้นเลย หายมั่วๆ หายสลัวๆ หายว่างๆ มิจฉาทั้งนั้นน่ะ

นี่ไง เวลาภวาสวะ ภพก็เหมือนกัน เราฟังมาเยอะ ไอ้พวกเทศนาว่าการน่ะจิตเดิมแท้ผ่องใส ผ่องใสคือนิพพาน จิตเดิมแท้นั่นน่ะคือตัวนิพพาน”...เฮ้ย!เพราะอะไร

คำพูดมันฟ้องหมดว่าเอ็งทำอะไรกันมา เอ็งไม่เคยทำอะไรกันมา แล้วไม่ได้ทำอะไรด้วย แล้วผลมันจะมีขึ้นมาได้อย่างไร

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุผลต้องถูกต้องชอบธรรม สัมมาทิฏฐิความถูกต้องชอบธรรม สัมมาสมาธิมันเป็นข้อเท็จจริงของมัน แล้วข้อเท็จจริงของมัน ต้องรู้จักจัดการ รู้จักการบริหาร เพราะซ้ำแล้วซ้ำเล่าไง

เพราะคนเราพิจารณาไปแล้ว กิเลสครั้งเดียวมันไม่สิ้นสุด มันไม่สิ้นสุดก็ต้องฝึกหัดให้มันชำนาญขึ้น ให้มีความชำนาญ ให้มีการผ่อนหนักผ่อนเบา ถ้ากิเลสมันหลบ เราก็ถอยออกมา ดึงกิเลสมันออกมาคอยพลิกคอยแพลง

หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกเลย การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติโง่อย่างกับหมาตาย

ปฏิบัติตรงไง เถรตรง ต้องปฏิบัติอย่างนี้ตลอด เถรตรงเลย กิเลสมันหัวเราะเลย เฮ้ยมึงฉลาดขึ้นมาหน่อยหนึ่งสิ กูหลอกมึงง่ายฉิบหายเลย มึงไม่ฉลาดเลย มึงโง่เง่าเต่าตุ่นแล้วมึงบอกมึงจะฆ่ากิเลส มึงฝึกหัดให้มันฉลาดขึ้นมาสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ พลิกแพลงสักหน่อยสิ นี่หลวงตาด่าทุกวัน ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม

ฉะนั้นบอกว่า “ความเห็นของผม จิตคือตัวภพ

ถูก แต่มันมีกิเลสสวะ มีอวิชชาสวะ มันเป็นอาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ มันก็อยู่บนภพนี่แหละ แต่ภพอย่างหยาบ ภพอย่างกลาง ภพอย่างละเอียด

ในการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติถ้ามีครูบาอาจารย์ เอ็งไม่ต้องไปแสวงหาภพ ถ้าภพคือสัมมาสมาธิ ก็เป็นตัวตน ก็คือภพ แต่ภพอย่างนี้ สัมมาสมาธิคือจิตสงบ กิเลสสงบตัวลง กิเลสยังเต็มตัวอยู่ กิเลสสมบูรณ์แบบอยู่ ภพนี้ภพพร้อมกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

หลวงปู่มั่นท่านพูด

อวิชชาคือพญามารอยู่บนฐีติจิต ฐีติจิตนั่นแหละคือตัวภพ

ถ้ามันทำลายภพ มันทำลายอวิชชา มันพ้นจากพรหม พ้นจากวัฏฏะที่ว่าปรารถนาไง เพราะ “ผมอยากจะออกจากวัฏฏะ ทำได้อย่างไรครับ ผมจะออกจากวัฏฏะ

ก็ทำสมาธินี่แหละครับ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิไม่เกิดภาวนามยปัญญา ไม่เกิดภาวนามยปัญญาคือไม่เกิดมรรค ไม่เกิดมรรคคือไม่เกิดขันธ์ ธรรมขันธ์ ขันธ์ที่เป็นดาบเพชรที่จะไปชำระล้างกิเลส

อยากจะพ้นจากภพก็ต้องค้นหาตัวภพให้เจอ แล้วค้นหาตัวภพ ภพอย่างหยาบ ภพอย่างกลาง ภพอย่างละเอียด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันก็ตั้งอยู่บนภพอย่างหยาบๆ เพราะกระแสมันมี

เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการ เวลาตัดกิเลสเป็นชั้นๆ เข้ามา มันหดสั้นเข้ามาๆ หดสั้นเข้ามาจนเป็นตัวมันน่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรมชาติจิตมันส่งออก พุทโธ พุทธะ ตัวจิตมันเสวยอารมณ์ มันส่งออกไปๆ มันก็มีกระแสของภพออกไป ฉะนั้น เวลาพิจารณาไปแล้ว สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันขาด พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ เอ็งไม่รู้เรื่องกันเลยหรือวะ ถ้าเอ็งจะพ้นจากวัฏฏะไง

วัฏวนนี้ไม่มีต้นไม่มีปลายนะ นับภพนับชาติไม่ได้ แต่เวลาสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสมันขาดไปดั่งแขนขาด สังโยชน์ ๓ ขาดจากจิต ถ้าสังโยชน์ ๓ ขาดจากจิต ภพอย่างหยาบๆ มันถึงรู้ได้ไง

นี่ “บรรลุธรรมๆ

เฮ้ยเอ็งไม่รู้อะไรกันเลยหรือ เอ็งไม่รู้จักวัฏฏะเลยหรือ

นี่ไง “อยากจะออกจากวัฏฏะ จิตนี้อาศัยอยู่ในวัฏสงสาร แล้วมันอาศัยอยู่” มันพูดนี่มันกลับกันหมด เห็นไหม “มันอาศัยวัฏฏะ

วัฏฏะเป็นวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ถ้าเป็นพระโสดาบันอีก ๗ ชาติ สกิทาคามี อนาคามี ไม่เกิดบนกามภพ ไม่เกิดตั้งแต่เทวดาลงมา ภพอยู่ไหน สังสารวัฏอยู่ไหน แล้วจิตอยู่ไหน ใครเป็นคนเสวยภพ ใครอยู่ในภพ ใครอยู่นอกภพ ใครรู้จักภพรู้จักชาติ

ถ้ามันปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตดวงนั้นรู้

ฉะนั้นที่บอก “บรรลุธรรมๆ

บรรลุความคิด มันบรรลุธรรมเป็นไปไม่ได้ ถ้าบรรลุธรรมอีก ๗ ชาติ นี่ไง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส การลูบคลำในศีลจบครับ พระโสดาบันนะ โอ้โฮเรื่องศีลเรื่องธรรมยอดเยี่ยม เพราะอะไร เพราะมันเห็นผลถึงว่า เราถ้าจะเกิดอย่างมากก็อีก ๗ ชาติ แล้วถ้ามันจะแสวงหาให้ไม่เกิดเลยล่ะ

จากเรา เราปุถุชนคนหนาเรายังจับผิดจับถูกใช่ไหม แต่พระโสดาบันเขาจับให้มั่น คั้นให้ตาย เขาจับเต็มไม้เต็มมือเขาแล้ว เขาจะมาลูบๆ คลำๆ ในศีลไหม เขาจะมากะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหลไหม เขาจะพลิกจะแพลงไหม มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ตรงภพนี่แหละ

ตรงที่ว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ขาดไป จิตมันสังโยชน์ที่ขาดไปมันรับรู้ในจิตของมัน แล้วรับรู้ในจิตของมัน แล้วจิตมันมีคุณภาพอย่างไร มันรู้อะไร สถานะอะไร สถานะสูงต่ำนะ ถึงเป็นบุคคล ๔ คู่

ฉะนั้น สิ่งที่ถามมาๆ มันเป็นข้อสงสัย มันเป็นเรื่องจินตนาการ มันเป็นเรื่องอำนาจวาสนา มันเป็นเรื่องจริตนิสัย

ที่เราพูดนี่ เพราะว่าคนที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเข้มข้นเข้มแข็งแล้วอยากจะฝึกหัดปฏิบัติมากนะ แต่ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็น ไม่รู้ ตัวเองก็งงอยู่แล้ว แล้วไปเจอครูบาอาจารย์ที่ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ มันก็เลยกลายเป็นใบพัดเลย เป็นวังวนงงหมุนอยู่อย่างนั้นเลย แล้วก็หมุนอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ เราก็ต้องฝึกหัดปฏิบัติ แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติก็ปฏิบัติแบบผู้ถามนี่แหละ การฝึกหัดปฏิบัติจากสมมุติบัญญัตินี่แหละ การฝึกหัดก็จากจิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ แต่เวลาทำไปแล้วเราจะต้องมีข้อวัตรปฏิบัติคือมีจุดยืน มันจะไปรู้ไปเห็นอะไรไม่เอาๆ นั่นคือส่งออก ส่งออกนี่เราใช้พลังงาน เสียพลังงานไปมากมายเกินไป เราสงวนพลังงานของเรา สงวนพลังงานไว้ในจิตนี้ สงวนพลังงานไว้ให้มีความสงบระงับ

เพราะว่า พระพุทธศาสนา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตดวงนี้ตื่นขึ้นแล้วฝึกหัดปฏิบัติ สะดุ้งตื่นแล้วบรรลุธรรมไม่มี มันต้องบรรลุธรรมด้วยภาวนามยปัญญา ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธดับทุกข์ด้วยมรรค ๘ มรรค ๘ ต้องสมบูรณ์แบบ

นี้มรรค ๘ มันสมบูรณ์แบบหรือมันขาดตกบกพร่อง มันขาดสิ่งใดไป มันแต่ละครั้งแต่ละตอน ฝึกหัดบ่อยครั้งๆ ไง

เวลาฝึกหัดก็ฝึกหัดแบบที่เขียนมาครั้งที่แล้วว่าฝึกหัดแล้วไปเจอไอ้นั่นๆ แต่เจออย่างนั้นเจอแล้ววางไง

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ ท่านบอกว่าขี้หมา ขี้หมา ขี้หมาคือเป็นเรื่องไร้สาระ ไร้สาระ ไร้สาระ แต่เราไปเห็นสิ่งนั้นแล้วเราเป็นของยิ่งใหญ่ แล้วไปเห็นของสิ่งนั้นเป็นของที่น่าเชิดชู มันก็ไปหมดน่ะสิ

มันเป็นเรื่องไร้สาระไง ปฏิบัติก็เห็นกันทุกคนน่ะ แล้วเห็นแล้วได้อะไร นั่นล่ะตัวล่อ นั่นล่ะตัวส่งออก แล้วตัวชักนำไป ชักนำไปไหน ชักนำไปให้พญามารมันขี่เล่นไง

สัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี รู้สิ่งใดแล้ววาง แล้วเดินหน้าต่อไป ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติทำความสงบของใจให้มั่นคง แล้วให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม

ทำไมต้องเห็น

นั่นแหละคือภวาสวะอย่างหยาบ สถานที่ที่การก่อตัวขึ้นของกิเลส สถานที่ที่กิเลสมันยึดครอง แล้วธรรมะนี้จะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติภาวนามยปัญญาไง ไปนิโรธขณะดับมันให้ได้ ทำลายล้าง ทำลายล้างด้วยการภาวนา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บอกว่า ที่ผู้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตัดป่าทั้งป่าคือป่ารกชัฏของกิเลส แต่ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว

คือมันเป็นนามธรรม มันเป็นความรู้สึก มันเป็นกิเลสภายในใจ เป็นสิ่งที่เป็นพญามาร มันไม่ใช่ต้นไม้ป่าเขาที่เขาปลูกกันขึ้นมาภายนอก แต่ภายในมันรกชัฏไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

นี่ตัดป่าทั้งป่า ตัดป่าทั้งป่า ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว กิเลสตายราบคาบ เอวัง